"อินเทอร์เน็ต" หรือที่เรามักเรียกกันย่อๆ ว่า "เน็ต" นั้น เป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่เชื่อมคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายที่อยู่ในประเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน เริ่มแรกพัฒนาเพื่อปฏิบัติภารกิจทางการทหารในสหรัฐฯ ปัจจุบันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการให้บริการต่างๆ เช่น อีเมล์ เทลเน็ต ไออาร์ซี เป็นต้น โดยบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมีคนรู้จักมากที่สุด ก็คือเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)
หลายคนมักสับสนคิดว่า "อินเตอร์เน็ต" กับ "เวิลด์ไวด์เว็บ" เป็นตัวเดียวกันความจริงแล้ว "เวิลด์ไวด์เว็บ" เป็นเพียงบริการหนึ่งบนอินเตอร์เน็ตเท่านั้น พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 1993 มีลักษณะเด่นคือ ความสามารถในการเชื่อมเอกสารหลายไฟล์เข้าด้วยกันผ่านทางตัวเชื่อมหรือไฮ เปอร์เท็กซ์ (หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ลิงก์") ขณะนี้เวิลด์ไวด์เว็บกลายเป็นช่องทางทำธุรกิจที่สำคัญอีกช่องทางหนึ่ง ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์บริษัท และเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า แนะนำบริการ โฆษณา ฯลฯ
"เว็บเพจ" คือหน้าเอกสารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในเวิลด์ไวด์เว็บ โดยมากภาษาที่ใช้เป็นโครงสร้างหลักสำหรับเว็บเพจ คือ HTML (Hyper Text Markup Language) นอกจากนี้ยังมีจาวาสคริปต์ และแคสเคดดิ้ง สไตล์ชีต ที่นิยมใช้เพื่อช่วยจัดหน้าเว็บเพจให้สวยงามและโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ดีขึ้น หน้าเอกสารทุกหน้าเราจะเรียกว่า เป็นเว็บเพจได้ทั้งหมด ไม่ว่าหน้านั้นๆ จะถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีใดก็ตาม เมื่อรวมหลายเว็บเพจเข้าด้วยกันก็จะกลายเป็นเว็บไซต์ "เว็บไซต์" เป็นชื่อเรียกเว็บเพจหลายๆ หน้าที่อยู่ภายใต้เว็บแอสเดรสเดียวกัน โดยในหนึ่งเว็บไซต์จะมีจำนวนเว็บเพจกี่หน้าก็ได้ไม่สำคัญ ขอเพียงแค่ว่าเว็บเพจทั้งหมด อยู่ภายใต้ที่อยู่เดียวกันเช่น www.doae.go.th (เว็บไซต์นอกจากจะมีเว็บเพจแล้ว ยังมีส่วนอื่นๆ ประกอบได้ เช่น ฐานข้อมูล ไฟล์สคริปต์ เป็นต้น)
"โฮมเพจ" หมายถึง เว็บเพจหน้าแรกของเว็บไซด์หนึ่งๆ ก็คือ เมื่อคุณพิมพ์เว็บแอดเดรส ของเว็บไซด์ใดๆ ลงไป เช่น www.doae.go.th หน้าเว็บเพจแรกทีโหลดขึ้นมาเราเรียกว่า เป็นหน้า โฮมเพจ โดยมากชื่อไฟล์ที่เป็นหน้าโฮมเพจจะใช้ชื่อว่า index.html หรือ index.htm คนไทยหลายคนนิยมเรียกหน้าโฮมเพจว่า "หน้าบ้าน"
ปัจจุบันมีหลายคนที่มักสับสนกับการใช้คำว่า เว็บเพจ เว็บไซด์ และโฮมเพจ โฆษณาหลายแห่งลงประกาศรับจ้างสร้างโฮมเพจ ถ้าแปลกันตรงๆ หมายถึงว่า เขารับจ้างสร้างกันแค่หน้าโฮมเพจ หน้าเดียว หน้าเว็บเพจอื่นๆ ไม่รับ? บางคนใช้เว็บไซด์แทนเว็บเพจ ใช้โฮมเพจแทนเว็บไซด์ ปนกันไป อย่างไรก็ดีคนไทยหลายคนคุ้นเคยกับคำว่า โฮมเพจ มากกว่า เว็บเพจ ดังนั้นการสื่อสารกับคนไม่เข้าใจบางครั้งต้องระวัง หากต้องการจะสื่อกันให้เข้าใจอย่างรวดเร็ว อาจต้องใช้คำว่า โฮมเพจ แต่หากจะให้เข้าใจและเรียกได้อย่างถูกต้อง คงต้องมานั่งอธิบายข้อแตกต่างระหว่างคำทั้งสองคำให้กับบุคคลนั้นๆ ฟัง
สร้างเว็บเพจยากเหมือนกับการเขียนโปรแกรมหรือไม่ ?
หลาย คนกลัวการเขียนโปรแกรม บางคนเคยศึกษามาแต่ไม่รู้เรื่อง บางคนไม่เคยสัมผัส แต่ก็ได้ยินเขาเล่ามาว่า มันยากก็เลยนึกกลัวไปด้วย การสร้างเว็บเพจด้วยตัวเอง รับประกันได้เลยว่าง่ายและเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าการเขียนโปรแกรมมาก เพียงมีเวลาให้สักหนึ่งวันก็สามารถจะสร้างเว็บเพจได้ด้วยตนเอง โปรแกรมหรือภาษาที่ใช้สำหรับการจัดทำเว็บเพจก็ใช้งานได้ง่ายดาย คำสั่งของภาษา HTML ที่ใช้โดยมากสื่อความหมายได้ดี และถ้าหากพอจะมีความรู้ในด้านเวิร์ดโพรเซสซิ่งมาบ้าง ก็น่าจะเข้าใจคำสั่งโปรแกรมการสร้าง HTML ได้โดยไม่ลำบากมากนัก ตัวอย่างเช่น <B> หมายถึง Bold ใช้สร้างตัวหนา, <P> หมายถึง Paragraph ใช้แบ่งย่อหน้า, <FONT> นี่ใช้ตรงๆ ตัว ใช้สำหรับจัดการเกี่ยวกับรูปแบบอักษร หรือ <TABLE> ใช้สำหรับสร้างตาราง เป็นต้น
ลักษณะของภาษา HTML ที่ใช้สร้างโครงสร้างของเว็บเพจนั้น เป็นภาษาที่เรียนรู้ได้ง่าย ใช้เวลาไม่น่าเกินสองสัปดาห์ก็เรียนรู้คำสั่งได้เกือบทั้งหมด ตัวภาษา HTML เองจะมีลักษณะพิเศษ คือคำสั่งทุกตัวต้องถูกเก็บอยู่ในเครื่องหมาย < และ > เช่น <FONT> โดยคำสั่งส่วนใหญ่ต้องมีตัวปิดท้ายด้วย โดยเติมเครือ่งหมาย / เพิ่มเข้าไป เช่น </FONT> ดังนั้นสมมุติว่าเราต้องการสร้างตัวหนา ก็เพียงแค่ใส่ <B> และ </B> ปิดหัวท้ายข้อความที่ต้องการทำให้เป็นตัวหนา เช่น <B> ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซด์กรมส่งเสริมการเกษตร </B> เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ความยากในการเขียนเว็บเพจนั้นอยู่ที่การนำเอาคำสั่ง HTML มาใช้ร่วมกันให้ได้ หน้าเว็บเพจที่ลงตัว สวยงามและใช้งานง่ายๆ แค่สร้าง ใครๆ ก็ทำได้ แต่สร้างให้ดีอันนี้คงต้องใช้เวลา นอกจากนี้ในปัจจุบันเว็บเพจมีความซับซ้อนมากขึ้น เทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างเว็บเพจมีเพิ่มมากขึ้น ที่กำลังได้รับความนิยม คือ CSS (Cascading Style Sheet) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการออกแบบสไตล์ของเว็บเพจ เช่น สีอักษร ระยะห่างบรรทัด ชนิดฟอนท์ เส้นขอบตาราง ฯลฯ โดย CCS จะเข้ามาทำหน้าที่แทนคำสั่งบางคำสั่งของ HTML (คาดว่านักออกแบบเว็บ จะใช้ CSS อย่างเต็มที่อีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า) อีกตัวหนึ่งที่แรงมานานก่อนหน้า CSS ก็คือ จาวาสคริปต์ ใช้สำหรับสร้างลูกเล่นให้กับเว็บเพจ เช่น สร้างกรอบโต้ตอบ ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ คำสั่งจาวาสคริปต์มีมากกว่า HTML พอสมควร ยากกว่า และต้องใช้เวลาศึกษามากว่า พื้นฐานโครงสร้างของจาวาสคริปต์มาจากภาษาซี แต่เป็นภาษาซีแบบกลายพันธุ์ มีประสิทธิภาพด้อยกว่า ไม่ต้องคอมไพล์ แต่เขียนเป็นลักษณะสคริปต์แทน (คล้าย HTML แต่ดูสับสนกว่านิดหน่อย)
สรุปก็คือ โดยรวมไม่ว่าจะเป็น HTML, CSS หรือจาวาสคริปต์ ทั้งหมดรับรองได้ว่าไม่ยากเท่ากับการเขียนโปรแกรมแน่นอน ตัวโครงสร้างของภาษา สำหรับเว็บเหล่านี้มีความยืดหยุ่นกว่าภาษาโปรแกรมมิ่งในหลายๆ ด้าน เรียนง่ายและเป็นเร็ว หากใครยังคงกลัวว่ามันจะยาก ก็ลองเข้าไปสัมผัสมันดูสักระยะแล้วจะทราบความจริงว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด
จะสร้างเว็บเพจต้องเตรียมการอะไรบ้าง?
ถ้า เอาแบบพื้นๆ ก็มีอยู่เพียงสองอย่าง คือ เครื่องมือสำหรับสร้างเว็บเพจ และบราวเซอร์สำหรับแสดงผล แต่หากจะให้ครบถ้วนทั้งหมดคงต้องเพิ่มคู่มือคำสั่ง ตารางสี โปรแกรมตกแต่งภาพ ฯลฯ แล้วแต่ว่าสิ่งที่คุณจะทำมีอะไรบ้าง
บราวเซอร์ที่ใช้ควรเป็นบราวเซอร์รุ่นที่มีคนนิยมใช้กันมาก เช่น IE 4.x, IE 5.X, Netscape 4.X เป็นต้น ส่วนจะชอบตัวไหนเป็นพิเศษคงไม่มีผลเท่าไรกับเว็บเพจแบบพื้นๆ แต่หากเป็นเว็บที่ซับซ้อนมากขึ้น การแสดงผลของบราวเซอร์แต่ละตัวอาจแตกต่างกัน ดังนั้นทางที่ดีควรจะมีบราวเซอร์ดังๆ ติดตั้งไว้ในเครื่องให้ครบ
ส่วนเครื่องมือสำหรับสร้างเว็บนั้นหากจะใช้การเขียนด้วยภาษา HTML และเป็นคนที่เพิ่งศึกษาครั้งแรก แนะนำให้ใช้โน้ตแพ็ดที่ติดมากับวินโดวส์จะดีที่สุด หัดกันตั้งแต่เขียนโค้ด HTML ด้วยตัวเอง ยอมเสียเวลาเพียงแค่ไม่เกิน 2 สัปดาห์หรือ ไม่น่าเกิน 20 ชั่วโมง น่าจะศึกษาคำสั่งที่จำเป็นได้ครบทั้งหมด สำหรับเครื่องมือที่ใช้เขียนโค้ดด้วยตัวเองก็มีตั้งแต่โน้ตแพด เวิร์ดแพด ไมโครซอฟต์เวิร์ด หรือโปรแกรมเวิร์ด โพรเซสซิ่งอื่นๆ เพียงแค่เลือกบันทึกให้เป็นส่วนขยาย .html ก็ใช้ได้แล้ว ขอแนะนำพิเศษให้ตัวหนึ่งคือ EditPlus เป็นโปรแกรมขนาดเล็ก มีเครื่องมือช่วยเหลือสำหรับเขียนโค้ด HTML อยู่พอสมควร แบ่งสีระหว่างคำสั่งกับเนื้อหาได้ มีบอกหมายเลขบรรทัด ฯลฯ
เครื่องมือสร้างเว็บเพจอีกประเภทหนึ่งจัดเป็นประเภทโปรแกรมสำเร็จรูปแบบ WYSIWYG (What You See Is What You Get) สิ่งที่คุณเห็นบนโปรแกรมสร้างเว็บเพจ จะค่อนข้างเหมือนกับสิ่งที่จะแสดงบนบราวเซอร์ โปรแกรมประเภทนี้ช่วยให้เราสร้างเว็บเพจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น การสร้างตาราง หากเขียนโค้ดด้วยตัวเอง คุณต้องใช้ทั้ง <TABLE> <TR> <TD> และยังมีการตั้งค่าอื่นๆ อีกมากมาย เช่น BORDER, CELLPADDING, CELLSPACING ฯลฯ แต่หากใช้โปรแกรมประเภท WYSIWYG ซึ่งได้แก่โปรแกรม Microsoft Front Page, Netscape Composer, Dream Weaver, Pagemill, Hotdog, ฯลฯ จะสร้างได้อย่างง่ายดายโดยเพียงลากเส้นตีกรอบ ต่อเติมด้วยเส้นแบ่งซอยตาราง เพียงเท่านี้ตารางที่ต้องการก็เสร็จสมบูรณ์โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเลย
ควรจะใช้วิธีเขียนโค้ดด้วยตัวเองดีหรือว่าจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเข้ามาช่วยสร้างเว็บเพจดี ?
เหมือน กับการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจะง่ายกว่าการเขียนโค้ดด้วยตนเอง แต่ในหลายๆ ครั้ง โปรแกรมเหล่านี้ ก็สร้างเว็บเพจได้ไม่ตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ เบี้ยวซ้ายนิดขวาอีกหน่อย หากจะแก้ไขก็คงหลีกไม่พ้นต้องไปแก้ไขที่ตัวโค้ดของเว็บเพจ คือคุณต้องรู้และเข้าใจคำสั่ง HTML อยู่ดี รับประกันได้เลยว่า โฆษณาที่ประกาศใช้ซอฟต์แวร์สำหรับเว็บเพจได้โดยไม่ต้องเขียน โค้ด ยืนยันว่าเป็นจริงแค่ครึ่งเดียว หากสร้างเว็บเพจแบบเล่นๆ อาจพอได้ แต่หากเป็นเว็บเพจขององค์การใหญ่ๆ ที่ต้องการความถูกต้องสมบูรณ์แบบทุกรายละเอียด การแก้ไขโค้ดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย บริษัทรับสร้างและออกแบบเว็บเพจระดับมือโปรส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรมสองประเภท เกื้อหนุนกัน เริ่มแรกด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปแล้วตามตกแต่งเก็บรายละเอียดปลีกย่อยด้วยการ เขียนและแก้ไขโค้ดด้วยตนเอง
เว็บเพจที่ดีส่วนมากมีอะไรเป็นองค์ประกอบบ้าง ?
ปัจจัยที่ เกี่ยวข้องมีหลายอย่าง คนสร้างแต่ละคนมีสไตล์ที่แตกต่างกันไปในการจะทำให้เว็บเพจของตัวเองดูดีและ เป็นสากล แต่เสียดายที่ทำได้มีไม่มาก โดยรวมเว็บเพจที่ดูดีขององค์กร หรือบริษัทใหญ่ๆ ไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วย HTML เพียงอย่างเดียว แต่มี CSS กับ จาวาสคริปต์ผสมไปด้วย โค้ด HTML ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของเว็บเพจได้ทั้งหมด ทำให้ผู้ออกแบบเว็บต้องมีความรู้ในการดีไซน์และการสื่อสารค่อนข้างมาก ตั้งแต่การใช้สี การจัดวางข้อความและรูปภาพ การเล่นคำให้ดึงดูด ฯลฯ
รูปภาพบนเว็บเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆ ในการทำเว็บเพจดูดี รูปสวยและเข้ากับอารมณ์โดยรวมของเว็บไซต์และภาพพจน์ขององค์กร แต่มีหลายคนที่ตกม้าตายตอนสุดท้ายเพราะรูปภาพนั้นๆ มีขนาดใหญ่เกินไป เสียเวลาโหลดนานจนผู้ชมหงุดหงิดและปิดหน้าต่างทิ้งไปก่อนจะได้เห็น ซึ่งความเร็วในการโหลดเป็นปัจจัยหนึ่ง ลิงก์ต่างๆ บนเว็บเพจควรจะสื่อความหมายได้ถูกต้อง โครงสร้างการเชื่อมโยงต้องถูกวางอย่างเป็นระบบ เว็บเพจแต่ละหน้าภายในเว็บไซต์เดียวกัน ควรจะให้อารมณ์ที่เหมือนกัน
......เคล็ดลับง่ายๆ คือ ทำใจคุณให้เป็นกลาง แล้วสมมุติตัวเองเป็นผู้ใช้ นั่งดูเว็บเพจที่คุณออกแบบด้วยตัวเองอย่างละเอียด ใช้งานง่ายไหม มีตรงไหนแปลกๆ ตรงไหนไม่เข้าท่า ถ้าจะให้ดีลองให้เพื่อนๆมาช่วยกันดูแล้วเปิดโอกาสให้เขาวิจารณ์ได้อย่างเต็ม ที่ ก็จะได้เว็บเพจที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ.....
เคยเจอบางเว็บที่ดูกับบราวเซอร์ตัวหนึ่งก็สวยดี แต่พอดูด้วยบราวเซอร์อีกตัวหนึ่งกลับดูไม่ได้เกิดอะไร และมีข้อควรระวังหรือไม่ ?
ปัญหา ที่นักออกแบบเว็บมือใหม่มักจะเจอกันเป็นประจำหลายคนใช้บราวเซอร์อยู่ตัว เดียว ขณะนี้ Internet Explorer (IE) จากไมโครซอฟท์ครองตลาดบราวเซอร์ไปได้เกินครึ่ง แต่ผู้ใช้ Netscape Communicator ก็ยังมีอีกมาก สังเกตให้ดีจะเห็นว่า เว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงทั่วไป เช่น Yahoo! , Microsoft , Netscape , Snap , Download.com , CNN , NBC ฯลฯ ทั้งหมดจะมีปัญหาเรื่องบราวเซอร์น้อยมาก สตูดิโอ สำหรับสร้างเว็บเหล่านี้จะมีบราวเซอร์เกือบครบทุกรุ่นทุกเวอร์ชัน ไล่ตั้งแต่ Netscape และ IE เวอร์ชั่น 3.0 ไล่มาจนถึงเวอร์ชันล่าสุดในปัจจุบัน บราวเซอร์เวอร์ชันใหม่ย่อมสามารถใส่ลูกเล่นเข้าไปได้มากกว่า แต่ลูกเล่นนั้นๆ จะต้องไม่ไปรบกวน นอกจากปัญหาเรื่องบราวเซอร์แล้ว ยังมีเรื่องความละเอียดของหน้าจอมอนิเตอร์ ปัจจุบันที่คนใช้กันมากๆ มีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ คือ 640 x 480 , 800 x 600 , 1024 x 768 โดยขนาด 800 x 600 มีคนใช้มากที่สุด แต่สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ระดับมืออาชีพจะออกแบบเว็บเพจให้แสดงผลได้ดีที่ ความละเอียด 640 x 480 หรือไม่ก็ 800 x 600 หากออกแบบเว็บเพจบนหน้าจอที่ใช้ความละเอียดระดับ 1024 x 768 เมื่อนำไปดูผลบนจอที่ตั้งค่าความละเอียดไว้ต่ำกว่า จะทำให้ข้อมูลตามแนวกว้างแสดงผลได้ไม่พอดีกับความกว้างของบราวเซอร์ และผู้ใช้ต้องเลื่อนสกรอล์บาร์แนวนอนเพื่อดูข้อมูล เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสะดวกต่อผู้ใช้สักเท่าไหร่ และมีปัญหาเรื่องสีเพี้ยน คงต้องระวังตอนเลือกสีสำหรับใช้ในรูปภาพให้ดี หากเป็นไปได้ควรเลือกสีในกลุ่ม 216 สีสำหรับบราวเซอร์โดยเฉพาะ
ภาษาไทยกับเว็บเพจ มักมีปัญหาในการใช้งาน ?
โดย มากวิธีการแสดงผลภาษาไทยบนบราวเซอร์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีมาตรการใดที่แก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ใน IE ผู้สร้างเว็บเพจสามารถตั้งค่าได้ว่า จะให้เว็บเพจนั้นๆ แสดงผลด้วยภาษาอะไร ภาษาไทยใช้รหัสว่า window-874 หากผู้ชมใช้ IE บราวเซอร์ก็จะแสดงผลภาษาไทยให้โดยอัตโนมัติ แต่คุณสมบัติดังกล่าวใช้ไม่ได้กับ Netscape แต่มีมาตรฐานภาษาไทยสำหรับเว็บอีกตัวหนี่ง คือ TIS-620 ซึ่งถูกใส่ไว้ใน Netscape 5.0 ขึ้นไป หากบราวเซอร์ทั้งสองตัวตกลงกันเรื่องมาตรฐานภาษาไทยที่จะใช้ได้ การสร้างเว็บภาษาไทยต่อไปในอนาคตคงทำได้สะดวกขึ้น
หนทางแก้ไขขณะนี้มีอยู่ 2 ทางด้วยกันสำหรับ IE แนะนำให้ใส่ <META HTTP-EQUIV="Content-Type" content = "text/html ; charset = window-874"> ไว้ที่ส่วน <HEAD> ของไฟล์ HTML แต่เพื่อให้หน้าเว็บเพจแสดงผลได้ดีกับ Netscape ด้วย ควรระบุรูปแบบและขนาดอักษรที่ใช้เอาไว้ทุกๆส่วนที่เป็นภาษาไทยบนเว็บเพจ จะระบุด้วยคำสั่ง <FONT> อักษรที่แนะนำให้ใช้คือ MS Sans Serif ซึ่งแสดงผลได้สวยงาม มีอยู่ในวินโดวส์ 9x ทุกรุ่น หากเราไม่กำหนดรหัส windows-874 หรือระบุฟอนต์ผ่านทาง <FONT> จะเกิดอะไรขึ้น? ผู้ใช้จำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้วิธีตั้งค่าและเปลี่ยนชุดอักษรจะไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้
อีกปัญหาหนึ่ง สำหรับคนออกแบบเว็บคือการตัดคำภาษาไทยบนบราวเซอร์ ซึ่งปัจจุบันมีแค่ IE เวอร์ชั่นใหม่ๆ เท่านั้น ที่ทำได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดีหากเทียบกับ Netscape แล้ว ก็ถือว่าดีกว่ามากเพราะ Netscape ตัดคำภาษาไทยไม่ได้เลย จะตัดเฉพาะตรงที่เป็นเว้นวรรคเท่านั้น
ถ้าสร้างเสร็จแล้ว จะเอาเว็บเพจไปแสดงผลได้อย่างไร ?
ถ้า แค่ต้องการให้เพื่อนสนิทดูเฉยๆก็ copy ใส่แผ่นดิสก์ไปให้ดูก็ได้ แต่หากอยากจะเผยแพร่ขึ้นสู่เวิลด์ไวด์เว็บก็แนะนำให้ไปสมัครสมาชิกขอพื้นที่ สร้างเว็บไซต์ฟรีได้จาก Geocities.com. Yod.net, Sanool.com , Yahoo.com , Xoom.com ฯลฯ วิธีสมัครก็ไม่ยาก กรอกแบบฟอร์มตามที่แต่ละแห่งจัดเตรียมแบบการลงทะเบียนไว้ให้เสร็จ ก็ส่งไฟล์ (อัพโหลด) ขึ้นสู่เว็บไซต์ที่ไปสมัครสมาชิกไว้ได้เลย ซึ่งตรงนี้ขอแนะนำว่าควรมีการสร้างเว็บไซต์ไว้ให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปสมัคร ขอพื้นที่ จะได้เห็นผลงานได้ทันทีเลย หากเว็บไซต์ยังสร้างแบบไม่เสร็จจะทำให้ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถปิดตัวหรือประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นเข้าเยี่ยมชมได้
ส่วนวิธีอัพโหลดไฟล์นั้นสำหรับผู้ให้บริการบางแห่ง เช่น Geocities จะมีบริการให้อัพโหลดไฟล์ผ่านทางบราวเซอร์ได้ ใช้งานง่ายและสะดวกอย่างยิ่งโดยเฉพาะการอัพโหลดไฟล์จำนวนไม่มาก หรือถ้าไม่มีบริหารอัพโหลดไว้ให้คงต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมอย่าง MS_FTP หรือ CuteFTP มาใช้แล้วลองศึกษาด้วยตนเอง เมื่อการนำไฟล์ขึ้นสู่เซิร์ฟเวอร์เรียบร้อย เพียงแค่บอกแอดเดรสของเว็บไซต์ของคุณก็เป็นอันเสร็จสิ้น
หวังว่านักส่งเสริมการเกษตรทั้งหลายคงได้หาโอกาสสร้างเว็บเพจนำเสนอข้อมูล ข่าวสารที่ท่านต้องการเผยแพร่ หรือประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นทราบโดยผ่านทางระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกัน บ้าง แล้วท่านจะรู้สึกว่าองค์กรหรือหน่วยงานของท่านเปิดประตูต้อนรับและให้บริการ ผู้อื่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2. เกร็ดความรู้เชิงสร้างสรรค์
สร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้
“ทพ.กฤษ ดา”แนะเด็กและเยาวชนใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือเชิงสร้างสรรค์ ชี้ติดตามข่าวสารได้รวดเร็วกว่าสื่ออื่น ให้มองโจทย์ด้วยมุมมองใหม่ๆ และเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่น เชื่อช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้
เมื่อ วันที่ 21 ตุลาคม 2553 ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวในการบรรยายพิเศษโครงการเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เด็กหัวใส ฉลาดใช้ไอซีที”จัดโดย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจลว่า การ ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน ใช้ไอซีทีไปในเชิงสร้างสรรค์ และเกิดผลสำเร็จนั้น สิ่งสำคัญต้องเริ่มจากการสนับสนุนให้เด็กรู้จักการคิดนอกกรอบ ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา มีโครงการด้านไอซีที่น่าสนใจ เกิดจากการรวมตัวของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เชื่อว่าสังคมไทยมีองค์ความรู้มากมาย นำโดยคุณสุนิตย์ เชรษฐา กรรมการผู้จัดการสถาบัน Change Fusion (ใน ปัจจุบัน) ได้ ร่วมกันลงไปเก็บข้อมูลภูมิปัญญา องค์ความรู้ต่างๆ ในท้องถิ่น และนำมาผสมผสานกับระบบไอซีที จัดทำเป็นคลังภูมิปัญญาไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นต้นแบบการจัดเก็บข้อมูลที่น่าสนใจและได้รับรางวัล ระดับประเทศ
ผู้ จัดการ สสส. กล่าวอีกว่า ดังนั้น สิ่งสำคัญของเด็ก และเยาวชน ในการใช้ไอซีทีเชิงสร้างสรรค์ต้องคิดให้ลึกมากขึ้น ตีโจทย์ให้แตก โดยอาจจะมองโจทย์จากรอบๆ ตัวเรา เช่น สถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน ได้เห็นความเคลื่อนไหวในการนำไอซีทีมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมาก โดยมีการรวมกลุ่มของเยาวชน ใน twitter ใช้ชื่อว่า @ThaiFlood ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ และอัพเดทข้อมูลตลอดเวลา อาทิ สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ระดับน้ำ การให้ความช่วยเหลือฯลฯ ซึ่งมีการรายงานอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสถานีโทรทัศน์เสียอีก
“การ นำไอซีทีเข้ามาทำให้การช่วยเหลือไปถึงชาวบ้านได้อย่างรวดเร็วและลดระดับความ เสียหายได้มากกว่า เหตุการณ์สึนามิ ซึ่งความช่วยเหลือเข้าไปได้ค่อนข้างล่าช้า ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การนำไอซีทีมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน หรือต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพียงแค่มีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถทำให้การแก้ปัญหารวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น”ทพ.กฤษดากล่าว
ผู้ จัดการ สสส. กล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากฝากเด็ก เยาวชนไว้ก็คือ เราต้องมองใหม่ว่าโจทย์อยู่ที่ไหน ต้องค้นหาให้เจอ โดยเฉพาะโจทย์ใกล้ๆ ตัวเรา เพราะเมื่อเยาวชนมองกันเองจะเห็นภาพที่ชัดเจนกว่าผู้ใหญ่ และสามารถสื่อสารกันเองได้ง่ายกว่า การมองเห็นโจทย์ คือ ต้องมองให้หลุดกรอบ มองโจทย์ในมุมใหม่ให้เชื่อมโยงกับภาคส่วนต่างๆ ขณะ นี้โลก และวิถีชีวิตของคนกำลังเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่คนอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ หากต้องการเผยแพร่ข้อมูลก็ต้องเป็นข่าว ต้องใช้เงินซื้อโฆษณา แต่ขณะนี้ไม่ต้องแล้ว เพราะการใช้ไอซีทีเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ได้รับความสนใจอย่างมาก เช่น คลิปต่างๆ ในช่วงเวลาไม่นานมีคนสนใจเข้าไปดูจำนวนมาก บางคลิปเกิดเป็นกระแสสังคมก็มี

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น